อังกฤษ พ่ายดวลเป้า อิตาลี เถลิงแชมป์ยูโร สุดยิ่งใหญ่อังกฤษ ฏีกา ฝันสลาย สำหรับเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูโร ครั้งแรก ของ “สิงโตคำราม” แม้ขุนพลแดนผู้ดี พังประตูออกนำเร็วสุดประวัติศาสตร์ชิงดำ ยูโร แต่กลับไปไม่ถึงฝั่งฝัน จบ 90 นาทีเสมอ ต่อเวลา 1-1 ก่อนพ่ายดวลเป้า “อัซซูรี่” 3-2ส่ง อิตาลี เถลิงแชมป์ ยูโร สมัยที่ 2 ในรอบ 53 ปี ศึกฟุตบอลยูโร 2020 นัดชิงชนะเลิศ คืนวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา
อังกฤษ พ่ายดวลเป้า อิตาลี เถลิงแชมป์ยูโร สุดยิ่งใหญ่
อังกฤษ หมายมั่นที่จะครองแชมป์ ยูโร สมัยแรก ในถิ่น เวมบลีย์ สเตเดี้ยมของตนเอง แต่พวกเขาต้องผิดหวัง และ ยังคงล้างอาถรรพ์ เกมการแข่งขันระดับเมเจอร์เหนือ อิตาลี ไม่ได้
แกเร็ธ เซาธ์เกต หมายมั่นที่นำพา อังกฤษ ครองแชมป์ระดับเมเจอร์ ในรอบ 55 ปี หลังจาก ประสบความสำเร็จ ด้วยการคว้าแชม ยูโร สมัยแรก ในถิ่น เวมบลีย์ สเตเดี้ยมของตนเอง ให้ได้ในคืนนี้
ส่วน อิตาลี ภายใต้ บัญชาของ โรแบร์โต้ มันชินี่ พร้อมช่วงชิงความเป็นเจ้ายุโรปเช่นกัน หลังครองแชมป์ เมื่อ1968 หรือ 53 ปีที่ผ่านมา
“สิงโตคำราม” ฝันสลาย เกมนัดชิงชนะเลิศ ยูโร ครั้งแรก
เกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอลยูโร 2020 มีผู้ตัดสิน (ชาวฮอลแลนด์) บียอร์น ไคเปอร์ส คอยทำหน้าที่ในสนาม เริ่มเกม ขุนพล “สิงโตคำราม” เป็นฝ่ายเปิดฉากออกนำเร็ว หลังสิ้นเสียงนกหวีดได้เพียงสองนาที จากลูกฮาล์ฟวอลเลย์ ด้วยซ้ายสุดสวย ของ ลุค ชอว์
จากการพาบอล ขึ้นมาของ ลุค ชอว์ ก่อนไหลเข้ากลางให้ แฮร์รี่ เคน ที่วางบอลยาวทะลุมาถึง คีแรน ทริปเปียร์ ที่สอดขึ้นมาเติมเกมด้านขวา ก่อนที่ตักบอลข้ามแนวรับ ย้อนเข้าไปยังกรอบเขตโทษ 6 หลา และเป็น ทางฟูลแบ็กจาก ปีศาจแดงสอดเข้ามายิงยัดตาข่ายทางเสาด้านซ้าย อังกฤษ นำ 1-0
นาทีที่ 7 ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ สังหารฟรีคิก บริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ระยะ 20 หลา บอลเลี้ยวหนีกำแพงผู้เล่น สิงโตคำราม ข้ามคานออกหลัง
ช่วงนาทีที่ 35 เฟเดริโก้ เคียซ่า พาบอลลากเลื้อยกระชากบอลหนี เดแคลน ไรซ์ ทะลุหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนซัดส่องไกลด้วยซ้ายบอลเรียด เฉียดข้างกรอบประตูด้านขวาแบบมีลุ้น
ช่วงทดเจ็บนาที 45+1 ชิโร่ อิมโมบิเล่ รับบอลโยนเขตโทษ ก่อนเอี่ยวตัวยิงติด จอห์น สโตนส์ บอลกระดอนเข้าทาง จอร์จินโญ่ ป้ายบอล ไปที่ มาร์โก แวร์รัตติ วางเท้ายิงอีกครั้ง บอลไร้น้ำหนักเข้ามือ จอร์แดน พิคฟอร์ด
หมดครึ่งเเวลาแรก อังกฤษ นำก่อน 1-0
เริ่ม ครึ่งเวลาหลังได้แค่ 6 นาที ราฮีม สเตอร์ลิง เสียฟาวล์ ในแดนตนเองบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ และเป็น ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ที่บรรจงปั่นด้วยขวา บอลลอยข้ามคานออกไป
รูปเกม ช่วงครึ่งเวลาหลัง อังกฤษ กลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับ การโจมตี หลังขุนพล อัซซูรี่ เดินเกมในสไตล์ของตนเอง ได้อย่างไหลลื่น
จนเข้าสู่ชวงนาทีที่ 57 ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ เปลี่ยนตำแหน่งของตนเอง โยกมาทางทางขวารับบอล ส่งไปฝั่งซ้ายให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า บรรจงยิง บลพุ่งติดแนวรับผู้ดี กระฉอกเข้าทาง มิดฟิลด์ร่างเล็ก จากนาโปลี
ตามเก็บบอล กระชากบอลกรอบ 6 หลา ก่อนซัดด้วยซ้าย อัดไปที่เสาแรก บอลตรงตัวผู้รักษาประตู จอร์แดน พิคฟอร์ด ที่ยืนปักหลักปิดมุม ใช้มือทุบบอลทิ้งออกมาได้อย่างฉิวเฉียด
อิตาลียังเป็นฝ่ายพับสนามครองเกม มาจนถึงนาทีที่ 62 เฟเดริโก้ เคียซ่า ชิงจังวะ ลากบอลลุยจากริมเส้นฝั่งซ้าย จี้เข้ามากลางเขตโทษ ก่อนโยกหาจังหวะยิง บอลพุ่งโค้งอ้อมทะลุกองหลัง อังกฤษ กำลังจะเข้าประตู แต่นายด่านสิงโตคำราม ล้มตัวปัดบอลด้วยมือซ้ายข้างเดียวออกไปได้ อย่างเหลือเชื่อ
อีก 2 นาที่ เกมเข้้าสู่ช่วงนาทีที่ 60 คีแรน ทริปเปียร์ เปิดบอลจากด้านซ้าย และเป็ทาง จอห์น สโตนส์ พยายามขึ้นเทคตัวโหม่ง แต่ว่า นายด่านวัย 22 ปี กระโดดยื่นมือปัดบอลพ้นกรอบออกไป
ขุนพล “อัซซูรี่” อิตาลี ไล่ตามมาจนได้
ขุนพล “อัซซูรี่” ยังคงครองเกมบุกจนกระทั้งนาที 67 โดมินิโก้ เบร์ราดี้ เปิดบอลเตะมุมฝั่งขวา ในขณะที่บอลโค้งพุ่งมายังบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ
ทางด้าน ไบรอัน คริสตันเต้ ขึ้นโฉบโหม่งสะบัด บอลเลยผ่านมายังหน้าปากประตู ทำให้ มาร์โก แวร์รัตติ เข้าซ้ำดาบสอง โขกติดมือ จอร์แดน พิคฟอร์ด ที่ใช้มือปัดเซฟจังหวะสอง บอลกระดอนชนเสาซ้าย และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ วิ่งเข้ามายิงซ้ำเผาขน บอลตุงตาข่าย ประตู อิตาลี ตามตีเสมอ อังกฤษ ได้สำเร็จ 1-1
เกมดำเนินต่อไปจน ถึงนาที่ที่ 90 ทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ แม่ช่วงท้ายเกม อักฤษ จะเป็นฝ่าย ที่ได้เปิดฉากบุกช่วง 15 นาที่สุดท้ายบ้าง จบ 90 นาที เสมอ 1-1
ทำเให้ต้องต่อเวลาอีก 30 นาที และตลอดช่วงการต่อเวลา จบลงด้วยผลเสมอ ต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ
ฏีกา ฝันสลาย
โดยทางด้าน ขุนพล”อัซซูรี่” เป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน
คนแรก -ของฝั่ง อิตาลี โดมินิโก้ เบร์ราดี้ ซัดด้วยขวา บอลเสียบโค้นเสา ให้ทีมขึ้นนำ 1-0
คนแรก -ของฝั่ง อังกฤษ แฮร์รี่ เคน ซัดด้วยขวาบอลเสียบมุมซ้าย ดอนนารุมม่า พุ่งปัดไม่ทะน อังกฤษ ไล่ตีเสมอ 1-1
คนที่สอง – ของฝั่งอิตาลี อันเดรีย เบล็อตติ ยิงไปติดเซฟ พิคฟอร์ด
ก่อนที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ จะซัดเต็มข้ออย่างสะใจ บอลพุ่งเสียบมุมบน ส่ง “สิงโตคำราม” แซงนำ 2-1
คนที่สาม – เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ซัดให้ อิตาลี ไล่มา 2-2
ก่อนอังกฤษจะพลาดบ้าง หลัง มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เพิ่งถ฿กเปลี่ยนตัวลงไป ช่วงท้ายต่อเวลาพิเศษ ยิงเล่นทาง หลังหลอกให้นายด่าน อิตาลีขัยบพุ่งไปคนละทางก่อน แต่บอลดันไปชนเสา กระดอนออกไปอย่างน่าผิดหวัง
คนที่สี่ – เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ ไม่พลาด กดเต็มข้อ ส่งอิตาลี ขึ้นนำอีกครั้ง 3-2 ก่อนที่ อังกฤษ จะส่งสำรองอย่าง เจดอน ซานโช่ ยิงไปติดมือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่าเข้าอย่างจัง
คนที่ห้า -ของทาง อิตาลี ดันพลาดโอกาสทอง เช่นกัน หลัง จอร์จินโญ่ ยิงไปติดเซฟของ พิคฟอร์ด อย่างไรก็ตาม แฟนบอลแดนผู้ดีทั้งสนาม เวมบลีย์ ต้องเงียบกริบ เมื่อ บูคาโย่ ซาก้า ดาวยิง วัย 19 ของไอ้ปืนใหญ่ ยิงจุดโทษพลาด ซัดไปติดเซฟของ ดอนนารุมม่า เข้าอย่างจัง
ทำให้ อิตาลี เอาชนะในช่วงดวลจุดโทษ 3-2 เถลิงแชมป์ยูโร ครั้งที่สอง ของพวกเขาได้สำเร็จ
รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวริง
อิตาลี (4-3-3) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า,โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่,เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่,จอร์โจ้ คิเอลลินี่,เอแมร์ซอน,นิโคโล่ บาเรลล่า ,จอร์จินโญ่,มาร์โก แวร์รัตติ ,เฟเดริโก้ เคียซ่า ,ชิโร่ อิมโมบิเล่ , ลอเรนโซ่ อินซินเญ่
อังกฤษ (5-2-3) : จอร์แดน พิคฟอร์ด,คีแรน ทริปเปียร์ ,ไคล์ วอล์คเกอร์,จอห์น สโตนส์,แฮร์รี่ แม็กไกวร์,ลุค ชอว์,คัลวิน ฟิลลิปส์,เดแคลน ไรซ์-,เมสัน เม้าน์ แฮร์รี่ เคน,ราฮีม สเตอร์ลิง
รายชื่อผู้เล่นสำรองที่ถูกส่งลงสนาม
อิตาลี : (ไบรอัน คริสตันเต้ น.54) (โดมินิโก้ เบร์ราดี้ น.55) (อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ น.118) (มานูเอล โลคาเตลลี่ น.96) (เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ น.86) (อันเดรีย เบล็อตติ น.91)
อังกฤษ : (บูกาโย่ ซาก้า น.70) (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.74)(แจ็ค กรีลิช น.99), (มาร์คัส แรซฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ น.120)
ติดตามข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ sportsball2you ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก dailymail uk sport
บ้านใหม่เบอร์เดิม เซร์คิโอ รามอส ซบ ปารีส ชูเสื้อหมายเลข 4 คู่ใจ / ดูหนังออนไลน์